วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ซัมเมอร์ฮิล SummerHill (โรงเรียนตามสบาย)

ซัมเมอร์ฮิล SummerHill (โรงเรียนตามสบาย)




           ซัมเมอร์ฮิลตั้งขึ้นในปีพ.ศ. ๒๔๖๔ ที่เมืองเลสตัน  มณฑลซัฟโฟค ห่างจากรุงลอนดอนประมาณ ๑๐๐ ไมล์ รับนักเรียนตั้งแต่อายุ ๕ ขวบถึง ๑๕ ขวบ หนังสือพิมพ์เรียกโรงเรียนซัมเมอร์ฮิลว่า “โรงเรียนตามสบาย” (Go- as- you-please school) เหตุเพราะที่ซัมเมอร์ฮิลเป็นโรงเรียนที่ให้ชีวิตที่เสรีแก่นักเรียน บนแนวคิดที่ว่าเราต้องสร้าง“โรงเรียนให้เหมาะกับเด็กไม่ใช่สร้างเด็กให้เหมาะกับโรงเรียน”  ที่ซัมเมอร์ฮิลให้นักเรียนมีอิสระที่จะสามารถเป็นตัวของตัวเองโดยการยกเลิกระเบียบวินัย  การสั่งให้ทำ  การแนะนำให้ทำ  การอบรมศีลธรรมจรรยา  โดยโรงเรียนมีความเชื่อมั่นในตัวเด็กในฐานะที่เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดีไม่เลวทรามแต่อย่างใด  เขาเชื่อว่าเด็กทุกคนเกิดมาพร้อมกับความฉลาดและมีความคิดตรงกับความเป็นจริงและถ้าเราปล่อยให้เขาพัฒนาตนเองอย่างเป็นอิสระปราศจากการแนะนำหรือบังคับต่างๆเขาจะสามารถพัฒนาตนเองได้มากที่สุดที่เขาจะสามารถ  ที่ซัมเมอร์ฮิลมองว่า “การเรียนเป็นเรื่องของการเลือกไม่ใช่การบังคับ”  นักเรียนจะเรียนก็ได้จะไม่เรียนก็ได้  นานเท่าไรก็ได้  นักเรียนจะอยู่ชั้นใดขึ้นอยู่กับอายุหรือความสนใจ  ไม่มีการสอนแบบใหม่เพราะที่ซัมเมอร์ฮิลไม่ถือว่าการสอนโดยตัวของมันเองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการเรียนขึ้นอยู่กับความสนใจและความต้องการที่จะเรียนของเด็ก  ไม่มีการสอบประจำชั้นเรียนแต่บางครั้งอาจมีการสอบเพียงเพื่อความสนุกสนานดังตัวอย่างของข้อสอบฉบับหนึ่งว่า สิ่งเหล่านี้อยู่ที่ไหน  แมดริด  เมื่อวานนี้  ความรัก  ประชาธิปไตย  ความเกลียด  และไขควงของฉัน(น่าเสียดายที่ไม่มีคำตอบสำหรับข้อหลังนี้เลย)  ซัมเมอร์ฮิลอาจเป็นโรงเรียนที่มีความสุขที่สุดในโลก  เพราะไม่ค่อยมีการทะเลาะเบาะแว้ง  ไม่ค่อยได้ยินเสียงร้องไห้เหตุเพราะเด็กมีเสรีภาพไม่ค่อยมีความเกลียดชังทุกคนมีแต่ความรักนั่นคือการยอมรับในตัวเด็ก  ซึ่งถือเป็นแก่นแท้ของโรงเรียน  แต่อย่างไรก็ตามที่ซัมเมอร์ฮิลให้แนวคิดว่าการยอมรับไม่ได้หมายความว่าจะปราศจากเงื่อนไขและเกินความสามารถของมนุษย์กล่าวคือทุกคนที่นั่นมีความเสมอภาคและสิทธิที่เท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์คนหนึ่งดังจะเห็นได้จากการประชุมสภาโรงเรียน (General School Meeting)  คะแนนเสียงของเด็กหกขวบมีค่าเท่ากับคะแนนเสียงของเจ้าของโรงเรียน  แนวคิดที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือที่ซัมเมอร์ฮิลเน้นความสำคัญของการปราศจากความกลัวในจิตใจของเด็กดังจะเห็นได้จากมีอยู่วันหนึ่งเด็กชายวัย ๙ ขวบเดินเข้าไปบอกเจ้าของโรงเรียนว่าเขาเตะฟุตบอลถูกกระจกหน้าต่างแตก  เหตุที่เขากล้าบอกเพราะว่าเขารู้ว่ามันจะไม่เป็นสาเหตุให้เขาถูกดุ ถูกลงโทษหรือกล่าวโทษทางจริยธรรมให้เขาได้อับอาย  เขาเพียงแค่อาจต้องจ่ายเงินชดใช้เท่านั้น  จากตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดในซัมเมอร์ฮิลทำให้พอสรุปได้ว่าการที่เด็กปราศจากความกลัวในจิตใจจะสามารถทำให้เข้ากับคนแปลกหน้าได้ดีกว่าเด็กที่มีความกลัวและสิ่งที่เป็นภูมิใจของซัมเมอร์ฮิลอีกอย่าหนึ่งคือการที่เด็กที่มีความเป็นมิตรกับคนแปลกหน้าได้ดีเป็นพิเศษ  โรงเรียนซัมเมอร์ฮิลมองว่าหน้าที่ของเด็กคือการใช้ชีวิตของตนเอง  ไม่ใช่ชีวิตที่พ่อแม่อยากให้เขาเป็นหรือชีวิตที่เป็นไปตามจุดหมายปลายทางของนักการศึกษา






วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เรื่องเก่าเล่าใหม่ ครั้งแรกที่ไป "อยุธยา"

เรื่องเก่าเล่าใหม่ ครั้งแรกที่ไป "อยุธยา"

เนื่องจากวันนี้นั่งๆอยู่ก็คิดถึงกลิ่นไอตอนที่ไปเที่ยวอยุธยาครั้งแรก (เห็นข่าวในอยุธยาจากTVบ่อยมาก)
จึงนำกลับมาเล่าใหม่อีกครั้งหนึ่ง
1.ออกเดินทาง จากศรีสะเกษ - อยุธยา
พวกเราไปรถเร็วชั้น3ครับ คนละ187บาท
บรรยากาศทางผ่านครับ


เจอฝรั่งด้วยครับ เป็นชาวแคนนาดา ก็สปีคกันพอได้แฮะ พูดไปหัวเราะไป


2.ถึงอยุธยาแล้วจะรออะไรละ ไปเช่ารถกัน


 ลงจากสถานีรถไฟอยุธยามา ก็นั่งเรือข้ามฟาก 5 บาท แล้วเช่ามอเตอร์ไซ 250 บาทครับ


3.เที่ยวรอบเกาะอยุธยากันเลยยยยย!!
ปราสาทต่างๆที่ยังคงสมบูรณ์อยู่ผนวกกับสิ่งปลูกสร้างยุคปัจุบัน

ที่แรก คือวัดมหาธาตุ ครับ ใหญ่และสวยมาก
เศียรพระพุทธรูปในรากไม้ ที่วัดมหาธาตุ
มีเด็กมาขายของด้วย ToT ขอโทษด้วยนะเพ่ไม่มีเงินจริงๆ
ป้ายมรดกโลกที่วัดพระศรีสรรเพชร
เห็นแล้วอยากไปอีกครั้ง
สำหรับผมประทับใจภาพนี้มากครับ
ส่วนนี่คือโบสถ์นักบุญยอเซฟครับ

*จริงๆไปมาประมาณ 15 ที่ แต่ด้วยที่รูปเหลือแค่นี้ครับต้องขออภัยผู้ติดตามด้วย
หวังว่าหากได้ไปครั้งหน้าจะเก็บภาพบรรยากาศมาอย่างละเอียดครับ

ส่วนอันนี้เป็นคลิปที่ทำหลังจากกลับมาครับ


                    ขอบคุณที่ติดตามชมครับ                    


วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ประวัติศาสตร์พัฒนาการของ “ส้วม” ไทย


ประวัติศาสตร์พัฒนาการของ “ส้วม” ไทย

การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยในอดีตนั้นเน้นไปที่การศึกษาสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เป็นสำคัญ หากแต่ในปัจจุบันมีการศึกษาถึงประวัติศาสตร์ของปัจเจกชน วิถีชีวิต หรือสิ่งของเครื่องใช้ในปัจจุบันว่ามีความเป็นมาอย่างไร สิ่งเหล่านี้ทำให้ประวัติศาสตร์มีความละเอียดมากขึ้น เป็นหลักฐานเชื่อมโยงไปยังประวัติศาสตร์ไทยอื่นๆ และยังมีความน่าสนใจเร้าอารมณ์ผู้อ่านได้เป็นอย่างดี จึงขอหยิบยกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอย่างยิ่งเป็นสิ่งของเครื่องใช้ที่อยู่คู่กับวิถีชีวิตคนไทยมาช้านาน แม้กระทั่งในปัจจุบันทุกคนยังจำเป็นต้องใช้และทุกบ้านจำเป็นต้องมีไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้หญิงหรือผู้ชาย เจ้านายหรือลูกน้อง ฯลฯ ทุกคน ขอย้ำ ทุกคนจำเป็นต้องใช้เพื่อคลายทุกข์เพิ่มสุขให้กับชีวิต สิ่งนี้คือ ส้วมหรือ สุขา

      จึงมีความสนใจเป็นอย่างมากที่จะสืบค้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์และความเป็นมาของส้วมในประเทศไทยซึ่งมีจุดเริ่มต้นในสมัยรัชการที่5 ได้มีพระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ.116 (พ.ศ.2440) เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยทำให้มีการคิดผลิตส้วมและวิวัฒนาการมาจนเป็นส้วมในปัจจุบัน

ส้วมในสมัยสุโขทัย

      ในพุทธศาสนา การที่พระสงฆ์ต้องมาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากภายในวัด ปัญหาเรื่องการจัดการกับการขับถ่ายและการชำระร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเกิดกลิ่นเหม็นและสกปรกขึ้นย่อมเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมและไม่เป็นตัวอย่างอันดีให้กับฆราวาส พระสงฆ์แบบลังกามีจริยวัตรที่งดงาม ใช้ชีวิตสมถะที่เรียบง่าย มีภิกษุสุโขทัยและหัวเมืองอื่นๆที่ได้ไปลังกาทวีปเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย ความรู้ทางพุทธศาสนาจากลังกาจึงได้รับแบบอย่างการใช้ชีวิตในเพศบรรพชิตมาจากลังกาด้วย ตัวอย่างหนึ่งของการรับวัฒนธรรมแบบลังกาที่น่าสนใจคือ ส้วมสุโขทัย ซึ่งจะได้กล่าวถึงวัตรปฏิบัติของพระในเรื่องการขับถ่ายไปด้วย แม้จะมีข้อปฏิบัติในพระวินัยแต่การขับถ่ายของพระก็มีการปรับให้เข้ากับสภาพสังคมและท้องถิ่น

      ส้วมสุโขทัย เมื่อประมาณสี่สิบกว่าปีก่อน ทางกรมศิลปากรได้ค้นพบแผ่นหินแผ่นหนึ่งที่จังหวัดสุโขทัย ซึ่งมีรูปร่างคล้ายโม่ มีรูตรงกลาง มีรอยเท้าและรางน้ำยื่นออกมา ซึ่งได้สันนิฐานว่าเป็นส้วม เมื่อมีการจัดสัมมนาโบราณคดีสมัยสุโขทัยขึ้นในปี พ..2503 ได้มีข้อถกเถียงในวงวิชาการเกี่ยวกับแผ่นหินดังกล่าว โดยมีผู้ที่คิดว่าเป็นส้วมและอีกฝ่ายหนึ่งคิดว่าเป็นฐานของ     ศิวลึงค์-โยนี เอกสารข้อโต้แย้งดังกล่าวเท่าที่ค้นพบมีอยู่ไม่มากนัก แต่มีการแสดงความคิดเห็นกันเป็นช่วงเวลาที่นานพอสมควร ทั้งทางด้านเกี่ยวกับความเป็นไปได้ทางสรีระที่จะเป็นอุปสรรคในการขับถ่าย ความเชื่อในสังคมสุโขทัยเกี่ยวกับวัตถุบูชาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และการเปรียบเทียบแบบส้วมของลังกากับไทย จึงพบว่าส้วมแบบสุโขทัยนั้นเข้ามาพร้อมกับพระพุทธศาสนาที่รับมาจากลังกา



แผ่นหินปิดหลุมส้วมพบที่เมืองเก่า สุโขทัย



แผ่นหินปิดหลุมส้วม ได้จากการขุดแต่งเมืองเก่าสุโขทัย
ส้วมในสมัยอยุธยา
วิวัฒนาการของส้วมในไทยมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกับบุคคลชั้นสูง โดยเฉพาะกษัตริย์หรือเจ้านายที่มีอภิสิทธิ์ในการสร้างที่ขับถ่ายในที่พักอาศัย ราษฎรทั่วไปไม่อาจทำได้ โดยอาจกั้นห้องเป็นสัดส่วน มีศัพท์เฉพาะเรียกว่า ที่ลงบังคน หรือ ห้องบังคน เพราะเรียกอุจจาระของเจ้านายว่า บังคน เช่นกัน เจ้านายจะขับถ่ายลงในภาชนะรองรับ จะมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้นำไปทิ้ง ส่วนสถานที่ของส้วมหรือสถานที่ลงพระบังคน น่าที่จะอยู่ห่างจากพระราชมนเทียรพอสมควร เพื่อป้องกันกลิ่นรบกวน
ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เขียนเล่าไว้เมื่อปี พ.ศ. 2231 ว่า "ในประเทศสยามถือกันว่าเป็นหน้าที่ที่มีเกียรติมาก ถ้าบุคคลใดได้รับแต่งตั้งให้มีหน้าที่เทโถพระบังคล ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะต้องนำไปเทลง ณ สถานที่อันกำหนดไว้เพื่อการนี้ และมียามเฝ้าระวังรักษาอย่างกวดขัน มิให้ผู้ใดอื่นกล้ำกรายเข้าไปได้ อาจเป็นเพราะความเชื่อถือโชคลางทางไสยศาสตร์ ซึ่งชาวสยามเชื่อว่าอาจมีผู้ทำกฤตยาคุณได้จากสิ่งปฏิกูลที่ถ่ายออกมาจากร่างกายนั้น"
สำหรับพระสงฆ์แล้วในพระธรรมวินัยกำหนดไว้ว่าจะต้องมีสถานที่ขับถ่ายโดยเฉพาะเช่นกัน เรียกว่า เวจ, เวจกุฎี (อ่านว่า เว็ดจะกุดี) หรือ วัจกุฎี (อ่านว่า วัดจะกุดี) โดยมีลักษณะเป็นหลุมถ่ายก่ออิฐหรือหินหรือไม้กรุเพื่อไม่ให้ขอบหลุมพัง มีเขียงแผ่นหินหรือแผ่นไม้รอง ปิดทับหลุม เจาะรูตรงกลางสำหรับถ่ายอุจจาระ หรืออาจมีฝาทำจากไม้ อิฐ หรือหิน ในบางแห่งมีล้อมเป็นผนังให้มิดชิด นอกจากนี้ยังมีคำว่าถาน ใช้เรียกส้วมของภิกษุสามเณร โดยถานสมัยโบราณเป็นโรงเรือนแยกออกไปต่างหาก ส่วนใหญ่จะอยู่ท้ายวัดจะได้ไม่ส่งกลิ่นเหม็นมารบกวน ลักษณะโรงเรือนจะมีใต้ถุนสูงโปร่ง ถ่ายเทอากาศได้สะดวก ด้านบนมีฝามิดชิด ข้างบนฝามีช่องระบายอากาศและช่องแสง มีประตูปิด-เปิด พื้นปูด้วยไม้หรือเทปูน มีร่องสำหรับถ่ายอุจจาระ มีเขียงรองเท้าสองข้าง มีรางน้ำปัสสาวะยื่นออกไปนอกฝา มีไม้ซีกเล็ก ๆ มัดรวมกันวางไว้ข้าง ๆ สำหรับเช็ดเมื่อเสร็จกิจ ในถิ่นที่หาน้ำได้ง่ายก็ชำระด้วยน้ำที่ใส่ภาชนะเช่นตุ่มเล็ก ๆ เตรียมไว้แล้ว
                   จะเห็นได้ว่าส้วมในสมัยอยุธยานั้น มีความคล้ายคลึงกับสมัยสุโขทัยเป็นอย่างมาก เพราะอยุธยานั้นก็รับวัฒนธรรม วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และผู้คนที่อพยพมาจากสุโขทัย จึงรับเอาวัฒนธรรมเกี่ยวกับการขับถ่ายของสุโขทัยมาด้วย
ส้วมในสมัยรัตนโกสินทร์ ในเขตพระมหามณเฑียร
ในพระราชพงศาวดาร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้กล่าวถึงที่ลงพระบังคนว่า "ด้วยแต่เดิมหาได้ลงพระบังคน บนพระมหามณเฑียรเหมือนทุกวันนี้ไม่ ต่อเวลาค่อนย่ำรุ่ง ยังไม่สว่าง เสด็จไปที่ห้องพระบังคนหลังพระมหามณเฑียร" ทั้งนี้เป็นการค่อนข้างอันตรายหากจะเสด็จออกนอกพระมหามณเฑียรเพื่อลงพระบังคน ด้วยมีเหตุที่เคยมีคนร้ายจะลอบปลงพระชนม์ นับแต่นั้นมาจึงโปรดให้ทำที่ลงพระบังคนให้ปลอดภัยกว่าเดิมซึ่งก็น่าจะอยู่ภายในพระราชมณเฑียร
ในสมัยรัชกาลที่ 2 ที่ลงพระบังคนที่พระตำหนักเดิมที่อัมพวา มีลักษณะเป็นหีบสี่เหลี่ยมหรือเก้าอี้ทรงสี่เหลี่ยมทึบ ทำด้วยไม้ ด้านบนเจาะเป็นช่องให้นั่งถ่าย ข้างในเป็นที่ว่างและสามารถเปิดด้านข้างได้ เพื่อเอากระโถนหรือกระทงใหญ่ ๆ ที่วางไว้ข้างใน ออกมานำไปเททิ้ง ที่ลงพระบังคนชนิดนี้สามารถทำความสะอาดได้ง่ายและจะมีพนักงานเชิญลงไปทิ้งในน้ำ
สำหรับพระบรมมหาราชวังนั้นมีการสันนิษฐานตำแหน่งของที่ลงพระบังคน จากบทความ "ที่ลงพระบังคน" เขียนโดยจุลลดา ภักดีภูมินทร์ ในนิตยสารสกุลไทย กล่าวว่า "ไม่เคยพบว่ามีหนังสือเล่มใดเขียนถึงที่ลงพระบังคน เป็นเพียงการเล่ากันต่อ ๆ มาว่า มีห้องเล็ก ๆ ข้างหลังพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานมีไว้สำหรับพระเจ้าแผ่นดินเสด็จทรงลงพระบังคนซึ่งห้องสรงก็คงจะอยู่ใกล้ ๆ กันนั้น" เมื่อทรงลงพระบังคนแล้ว ก็จะมีพนักงานนำไปจำเริญ ซึ่งต่อมา โถลงพระบังคนของพระเจ้าแผ่นดินมักทำจากของมีค่า จะนำออกไปน่าจะมีปัญหา ภายหลังจึงโปรดให้พนักงานเตรียมทำกระทงไว้วันละ 3 ใบ เมื่อเสร็จพระราชกิจแล้ว เจ้าพนักงานเพียงเชิญกระทงไปจำเริญโดยวิธีลอยน้ำ
ต่อมาลักษณะและวัสดุของโถลงพระบังคนที่เปลี่ยนแปลงไป จากการเข้ามาของวัฒนธรรมตะวันตก ลักษณะและวัสดุของโถลงพระบังคนที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยทำด้วยทอง กะไหล่ทอง ทองคำลงยา ก็เปลี่ยนเป็นทำด้วยโถกระเบื้องเคลือบชนิดหนา ลักษณะเป็นโถปากกว้างมีหูจับ มีทั้งชนิดเคลือบสีธรรมดาและอาจมีลวดลายสวยงามต่าง ๆ เช่น ลายดอกไม้เล็ก ๆ เจ้านายบางพระองค์จะสั่งภาชนะ ที่เกี่ยวกับการสรงพระพักตร์ ล้างพระหัตถ์และถ่ายพระบังคน มาเป็นชุดเดียวกันและต่อมาในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดให้สร้างพระราชวังดุสิตขึ้นนั้น ก็ทรงใช้วัฒนธรรมการขับถ่ายตามแบบยุโรป คือ ใช้ส้วมชักโครก
แบบจำลองที่ลงพระบังคน ในสมัย รัชกาลที่2
ส้วมในสมัยรัชกาลที่ 5
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 5 สยามเริ่มมีพลเมืองมากขึ้น การค้าเศรษฐกิจเจริญเติบโตตามจำนวนประชากร อีกทั้งยังเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกที่เข้ามา ในยุคนั้นประชาชนทั่วไปก็ยังไม่นิยมสร้างส้วมในที่อาศัยของตนเอง แต่จะขับถ่ายนอกสถานที่ตามตรอกซอกซอย ถนนหนทาง ริมกำแพงวัด หรือริมน้ำคูคลองต่าง ๆ เกลื่อนกลาดไปด้วยกองอุจจาระ เป็นสิ่งไม่น่าดู ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นรุนแรง และเป็นสาเหตุของโรคระบาดตามมา อีกทั้งเวจหรือถานพระที่มีอยู่ตามวัด ก็ปลูกสร้างแบบปล่อยอุจจาระทิ้งลงน้ำบ้างหรือปล่อยทิ้งลงพื้นเรี่ยราด เป็นเหตุให้มีทั้งสัตว์มาคุ้ยเขี่ยและแมลงวันไต่ตอม จนในปี พ.ศ. 2440 หรือปลายสมัยรัชกาลที่ 5 รัฐโดยกรมสุขาภิบาลซึ่งก่อตั้งในปีเดียวกันนั้น
กรมสุขาภิบาลจัดสร้างส้วมสาธารณะที่กั้นแบ่งเป็นห้อง ๆ มีห้องประมาณ 5-6 ห้อง เป็นห้องแถวไม้ยาว มักตั้งอยู่บนถนนสายสำคัญซึ่งเป็นย่านการค้าที่มีผู้คนอยู่คับคั่ง เช่น ถนนเจริญกรุง ถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร และตามชุมชนวัด ทั้งบริเวณรอบวัด เช่น บริเวณหน้าวัดบรมธาตุ ข้างวัดกำโลยี่ ตรอกข้างวัดมหรรณ์ หรืออยู่ในวัด เช่น วัดบวรนิเวศ วัดราชบูรณะ นอกจากนี้ยังมีการจัดส้วมสาธารณะจำนวนมากใกล้กับบริเวณวังของเจ้านายและตามสถานที่ราชการ อย่างเช่น โรงพัก โรงพยาบาล เป็นต้น
ลักษณะส้วมสาธารณะในยุคแรกเป็นส้วมถังเท มีอาคารปลูกสร้างครอบไว้ ภายในมีฐานส้วมทำจากไม้ เจาะรูสำหรับนั่งขับถ่าย ข้างใต้มีถังสำหรับรองรับอุจจาระ ซึ่งจะมีบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐอย่าง "บริษัทสอาด" หรือ "บริษัทออนเหวง" เป็นผู้ทำหน้าที่จัดการเก็บและบรรทุกถังบรรจุอุจจาระและเปลี่ยนถ่ายถังใหม่ทุกวัน รัฐมีนโยบายจะเปลี่ยนพฤติกรรมการขับถ่ายของประชาชนโดยการสร้างเวจหรือส้วมสาธารณะในรูปแบบของส้วมแบบถังเทในเขตเมืองและในรูปแบบของส้วมหลุมในเขตท้องถิ่น และออกกฎหมายบังคับและมีบทบัญญัติลงโทษผู้ฝ่าฝืน ทำให้คนเมืองหลวงรู้วิธีการใช้ส้วมและเห็นความสำคัญ จนเริ่มมีผู้สร้างส้วมไว้ในบ้านตนเองภายในช่วงระยะประมาณ 10 ปี หลังการออกกฎหมาย
ประดิษฐ์โดยนายอินทร์ บุญสะอาด ผู้ตรวจการสุขาภิบาลประจำอำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประมาณ พ.ศ. ๒๔๗๔

           





 


                ภาพส้วมถังเท
                     ก.ช่องถ่ายอุจจาระ
                    ข.ถังใส่อุจจาระ
                  ค.แผ่นปิดกันแมลง
                      ที่มา : การพัฒนา   อนามัยท้องถิ่น
                      สี่ทศวรรษของการพัฒนาส้วมไทย
                     (กรุงเทพมหานคร : กองสุขาภิบาล
                      กรมอนามัย, 2530), น.97

ส้วมในสมัยปัจจุบัน
ในระยะแรกที่ส้วมชักโครกเข้ามาในประเทศไทย คือช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2460-2490 ส้วมชักโครกคงมีเฉพาะตามวังและบ้านเรือนของผู้มีฐานะดีที่จบการศึกษาหรือเคยใช้ชีวิตในต่างประเทศ ไม่ค่อยแพร่หลายสู่คนทั่วไป ต่อมาเริ่มมีผู้ใช้ส้วมชักโครกมากขึ้นในช่วงที่มีการก่อสร้างบ้านแบบสมัยใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กระทั่งต้นทศวรรษ 2500 โถส้วมชนิดนี้ก็ได้รับความนิยมและมีผู้ใช้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ประเทศไทยก็มีการส่งเสริมให้ประชาชนสร้างส้วมราดน้ำหรือส้วมคอห่านใช้ในบ้านอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2485 เป็นต้นมา และรัฐบาลโดยความร่วมมือจากองค์การยูซ่อมของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในปี 2503 โดยเริ่มโครงการพัฒนาการอนามัยท้องถิ่น มีกิจกรรมสำคัญคือการสร้างส้วมและรณรงค์ให้ประชาชนถ่ายอุจจาระในส้วมจนถึงแผนพัฒนาสาธารณสุขฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534) ในปี 2532 กระทรวงสาธารณสุขดำเนินงานให้ประชาชนในประเทศไทยมีส้วมถูกหลักสุขาภิบาลในทุกครัวเรือน ในปีนี้ครอบคลุมจาก ร้อยละ 75 เป็นร้อยละ 90 และจากผลสำรวจในปี พ.ศ. 2542 มีส้วมถูกหลักสุขาภิบาลครอบคลุมครัวเรือนร้อยละ 98.1
โดยพระยานครพระราม (สวัสดิ์ มหากายี) อดีตสมุหเทศาภิบาล ผู้สำเร็จราชการมณฑลพิษณุโลก เป็นผู้ประดิษฐ์ ส้วมคอหงษ์ หรือ คอห่านเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๗ ขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสวรรคโลกและจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลร่วมมือกับมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ทำโครงการปราบโรคพยาธิปากขอ และรณรงค์ให้ราษฎรทั่วประเทศใช้ส้วม



  ส้วมคอห่าน  ประดิษฐ์ โดยพระยานครพระราม (สวัสดิ์ มหากายี)

ขุนนางชาวอังกฤษชื่อ เซอร์จอห์น แฮริงตัน เป็นผู้คิดค้นประดิษฐ์ส้วมชักโครกรุ่นแรกขึ้นเมื่อปี ค.ศ. ๑๕๙๖ (พ.ศ. ๒๑๓๙) โดยมีถังพักน้ำติดตั้งสูงเหนือโถส้วม เมื่อกดชักโครกแล้ว ของเสียจะถูกส่งผ่านท่อไปยังถังเก็บ
            
กระทั่งปี ค.ศ. ๑๗๗๕ อเล็กซานเดอร์ คัมมิงส์ ได้พัฒนาส้วมชักโครกให้สามารถทำงานได้ดีขึ้น โดยการดัดท่อระบายของเสียลงบ่อเกรอะเป็นรูปตัวยู จึงสามารถกักน้ำไว้ในท่อ เป็นตัวกันกลิ่นของเสียไม่ให้ย้อนขึ้นมาได้ นับเป็นต้นแบบของชักโครกที่ใช้งานในปัจจุบัน

ส้วมชักโครก
สรุป
ในสมัยสุโขทัยมีพระภิกษุไปลังกาทวีปเพื่อศึกษาพระธรรมวินัยที่ลังกาทวีปในยุคนั้นจึงได้รับแบบอย่างการใช้ส้วมมาจากลังกาด้วย ส้วมแบบสุโขทัยนั้นเข้าจึงได้เข้ามาพร้อมกับพระพุทธศาสนาส่วนส้วมในสมัยอยุธยานั้น มีความคล้ายคลึงกับสมัยสุโขทัยเป็นอย่างมาก เพราะอยุธยานั้นก็รับวัฒนธรรม วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และผู้คนที่อพยพมาจากสุโขทัย จึงรับเอาวัฒนธรรมเกี่ยวกับการขับถ่ายของสุโขทัยมาด้วย ส้วมในสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งกรมสุขาภิบาลขึ้นในปี พ.ศ. 2440 หรือปลายสมัยรัชกาลที่ 5 โดยกรมสุขาภิบาลซึ่งเป็นลักษณะส้วมสาธารณะในยุคแรกเป็นส้วมถังเท มีอาคารปลูกสร้างครอบไว้ ภายในมีฐานส้วมทำจากไม้ เจาะรูสำหรับนั่งขับถ่าย ข้างใต้มีถังสำหรับรองรับอุจจาระ ซึ่งจะมีบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐอย่าง "บริษัทสะอาด" หรือ "บริษัทออนเหวง" เป็นผู้ทำหน้าที่จัดการเก็บและบรรทุกถังบรรจุอุจจาระและเปลี่ยนถ่ายถังใหม่ทุกวันในสมัย  ปัจจุบันประเทศไทยก็มีการส่งเสริมให้ประชาชนสร้างส้วมราดน้ำหรือส้วมคอห่านใช้ในบ้านอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2485 เป็นต้นมา และรัฐบาลโดยความร่วมมือจากองค์การยูซ่อมของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในปี 2503 โดยเริ่มโครงการพัฒนาการอนามัยท้องถิ่น มีกิจกรรมสำคัญคือการสร้างส้วมและรณรงค์ให้ประชาชนถ่ายอุจจาระในส้วมจนถึงแผนพัฒนาสาธารณสุขฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534) ในปี 2532 กระทรวงสาธารณสุขดำเนินงานให้ประชาชนในประเทศไทยมีส้วมถูกหลักสุขาภิบาลในทุกครัวเรือน ในปีนี้ครอบคลุมจาก ร้อยละ 75 เป็นร้อยละ 90 และจากผลสำรวจในปี พ.ศ. 2542 มีส้วมถูกหลักสุขาภิบาลครอบคลุมครัวเรือนร้อยละ 98.1


วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง กระปุกออมสินแยกเหรียญ (แบบบันไดเลื่อน) คิดเองสร้างเอง



โครงงานวิทยาศาสตร์
เรื่อง กระปุกออมสินแยกเหรียญ

เสนอ
อาจารย์ สุวิมล   นาเพีย

จัดทำโดย
1.นางสาวธิดารัตน์  ยิ้มญวน            รหัสนักศึกษา 5614135133
2.นางสาวอินทิรา ตะชาติ                  รหัสนักศึกษา 5614135159
3.นางสาวพรนภา บุญเลิศ                รหัสนักศึกษา 5614135216
4.นายพิชญพงษ์ สุขสมาน                รหัสนักศึกษา 5614135222
5.นายเกียรติศักดิ์ โพธิ์เตี้ย                รหัสนักศึกษา 5614135233
6.นายวัฒนศักดิ์ ศรีเทพ                    รหัสนักศึกษา 5614135302
                                                7.นายอนุกูล เอี่ยมสำอาง                  รหัสนักศึกษา 5614135317
                                8.นายอำนวย สาลิกา                          รหัสนักศึกษา 5614135318
                                9.นางสาวสุธิดา โยธาทร                   รหัสนักศึกษา 5614135326
                                                10.นายอนุวัฒน์ อารีย์                        รหัสนักศึกษา 5614135331


คณะครุศาสตร์  สาขา สังคมศึกษา ชั้นปีที่ 3
มหาวิทยาลัยราชภัฎศรีสะเกษ

ชื่อโครงงาน         :               กระปุกออมสินแยกเหรียญ
ผู้จัดทำ                   :              นางสาวธิดารัตน์  ยิ้มญวน                นางสาวอินทิรา ตะชาติ
    นางสาวพรนภา บุญเลิศ                    นายพิชญพงษ์ สุขสมาน  
    นายเกียรติศักดิ์ โพธิ์เตี้ย                     นายวัฒนศักดิ์ ศรีเทพ                        
                                             นายอนุกูล เอี่ยมสำอาง                      นายอำนวย สาลิกา                                                                                         นางสาวสุธิดา โยธาทร                       นายอนุวัฒน์ อารีย์
อาจารย์ที่ปรึกษา  :               อาจารย์ สุวิมล   นาเพีย
สถานศึกษา           :               มหาวิทยาลัยราชภัฎศรีสะเกษ

บทคัดย่อ
                                ในปัจจุบันการใช้เหรียญต่างๆของคนไทย ยังมีจำนวนมาก การจับจ่ายใช้สอย การทอนเงินล้วนแล้วแต่ต้องมีเหรียญ แม้กระทั่งการออม การแยกเหรียญเพื่อนับเงินในปัจจุบันเครื่องแยกเหรียญก็มีขายแต่เนื่องจากราคาค่อนข้างแพง ผู้คนจึงไม่นิยมซื้อ
                การทำกระปุกออมสินแยกเหรียญจึงช่วยให้ผู้ใช้ มีความสะดวก รวดเร็วไม่ต้องเสียเวลามาใช้มือ แยกเหรียญ และสามารถนำไปใช้ได้สะดวกมีต้นทุนต่ำ
จากผลการดำเนินงานกระปุกออมสินแยกเหรียญ สามารถแยกเหรียญได้อย่างสะดวก แม่นยำ ช่วยแบ่งเบาภาระ ของผู้ใช้ในเรื่องของการแยกเหรียญ ซึ่งประกอบไปด้วยเหรียญสิบเหรียญห้า เหรียญสอง เหรียญบาท โดยไม่ต้องเสียเวลาในการนับแยกเหรียญด้วยมือ เมื่อออมเงินเสร็จผู้ใช้ก็สามารถนำเงินไปใช้ได้อย่างสะดวก

กิตติกรรมประกาศ
โครงงานเรื่องกระปุกออมสินแยกเหรียญ ที่สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีก็เพราะได้รับการช่วยเหลือจาก อาจารย์สุวิมล  นาเพีย  ที่ให้คำปรึกษาและให้คำแนะนำตลอดเวลา จนทำให้โครงงานบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ คณะผู้จัดทำขอขอบพระคุณท่านที่ให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงงานเรื่องกระปุกออมสินแยกเหรียญเรื่องนี้ จะเกิดประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจในการศึกษาต่อไป

                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                คณะผู้จัดทำ

บทที่ 1
บทนำ

ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
                      ในสภาวะของโลกปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ ทางด้านการศึกษา และทางด้านเทคโนโลยีทำให้มีผู้ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตประจำวันของมนุษย์เป็นอย่างมาก เนื่องจากกระปุกออมสินในปัจจุบันมีปัญหาการตรวจเช็คจำนวนเงิน โดยเฉพาะเงินที่เป็นเหรียญที่มีเหรียญสิบบาท เหรียญห้าบาท เหรียญสองบาท เหรียญหนึ่งบาท ปนกันอยู่เป็นจำนวนมากทำให้ต้องเสียเวลาในการแยกเหรียญ การนับจำนวนเหรียญ
          จึงควรมีการคิดค้นเครื่องที่จะอำนวยความสะดวกในการแยกเหรียญขึ้น เพื่อช่วยลดภาระและความยุ่งยาก เพื่อประหยัดเวลาในการคัดแยกเหรียญ และลดต้นทุนในการผลิตเครื่องคัดแยกเหรียญ
          ดังนั้น จึงได้มีการเสนอโครงงานเรื่อง กระปุกออมสินแยกเหรียญเนื่องจากผู้เสนอโครงงานนี้มีแนวคิดที่ว่ากระปุกออมสินแยกเหรียญนี้สามารถที่จะช่วยแบ่งเบาภาระในเรื่องการแยกเหรียญ ขนาดเหรียญสิบบาท เหรียญห้าบาท เหรียญสองบาท เหรียญหนึ่งบาท โดยสามารถนับจำนวนเหรียญจำนวนมากได้อย่างถูกต้องและต้นทุนการผลิต ในราคาที่ถูก

วัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน
                1.เพื่อฝึกนิสัยรักการออม
                2.เพื่อความสะดวกของการแยกเหรียญและนับเหรียญ
สมมติฐานของศึกษา
การนับเหรียญจากกระปุกออมสินแยกเหรียญ สามารถนับได้สะดวกกว่ากระปุกออมสินธรรมด
ขอบเขตของการทำโครงงาน
1.ออมสินแยกเหรียญ 4 ชนิด คือ คือ เหรียญ 10 บาท 5 บาท 2 บาท 1 บาท
2.ใช้เวลาดำเนินการ ตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึง เดือนเมษายน พ..2559

นิยามเชิงปฏิบัติการ           
1. ออมสินแยกเหรียญ หมายถึง สิ่งประดิษฐ์ของผู้จัดทำที่สามารถแยกเหรียญได้
2. เครื่องแยกเหรียญ หมายถึง ส่วนแรกของออมสินแยกเหรียญที่เมื่อหยอดเหรียญลงมาจะตรวจว่าเป็นเหรียญชนิดใด
3. กล่องเก็บเหรียญ หมายถึง ส่วนที่รับเหรียญจากเครื่องแยกเหรียญโดยภายในกล่องจะแบ่งเป็น 4 ช่อง สำหรับเหรียญแต่ละชนิดและทำหน้าที่หมุนช่องรับเหรียญที่ถูกต้องไปรับเหรียญตามที่เครื่องแยกเหรียญแจ้งว่าเป็นเหรียญชนิดใด

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
                1.ได้กระปุกออมสินแยกเหรียญที่ประหยัดเวลาในการคัดแยกเหรียญ ขนาดเหรียญ 10 บาท 5 บาท 2 บาท  1 บาท
                2.ได้กระปุกออมสินแยกเหรียญที่มีต้นทุนต่ำ ใช้วัสดุที่หาง่าย และสามารถทำเองได้
                3.เป็นการพัฒนารูปแบบของออมสินให้มีความแปลกใหม่ทำให้เกิดเป็นแรงจูงใจในการออม

ระยะเวลาในการดำเนินงาน
                ระหว่างเดือนมีนาคม  เมษายน 2559



บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
                ในการศึกษาโครงงานกระปุกออมสินแยกเหรียญ ขนาดเหรียญ 10 บาท 5 บาท 2 บาท 1 บาท คณะผู้ศึกษา ได้ค้นคว้ารวบรวมข้อมูลจากเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องและจากเว็บไซด์บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยขอนำเสนอตามลำดับ ดังนี้
2.1 เครื่องคัดแยกเหรียญ
                2.1.1 น.อ.ธวัชชัย เลื่อนฉวี, เทคโนโลยีโทรศัพท์; โรงพิมพ์ศุภาลัย, 2525.
ประโยชน์ ใช้ทำการคัดแยกประเภทของเหรียญให้มีความรวดเร็วกว่าที่จะให้คนมาทำการนับและคัดแยกเหรียญ
ด้วยตนเอง และความแม่นยำในการคัดแยกแต่ละครั้ง
                2.1.2 รองศาสตราจารย์ล้วน สายยศ, รองศาสตราจารย์อังคณา สายยศ, พิมพ์ครั้งที่ 5 กรุงเทพมหานคร, 2538.
ลักษณะทั่วไป มีขนาดพอประมาณสามารถทำการพกพาไปในที่ต่างๆได้ ข้อเสีย ตามท้องตลาดเครื่องคัดแยกเหรียญราคาตัวเครื่องค่อนข้างราคาสูงมากจึงไม่นิยมใช้ในกลุ่มคนทั่วไป นอกจากองค์กรต่างๆที่จำเป็นต้องใช้เครื่องเพื่อตรวจนับและคัดแยกเหรียญ
2.2 เหรียญ
                2.2.1 MASTER REPLACEMENT GUIDE, Philips Consumer Electronics Company, Copyright May 1998.ประเภทของเหรียญมีด้วยกัน 3 ประเภท โดยไชประกอบไปด้วย เหรียญ 10 เหรียญ 5และเหรียญบาทซึ่งในแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันไป และเวลาในการคัดแยกขึ้นอยู่กับปริมาณการใส่เหรียญลงไปในภาชนะเพื่อทำการคัดแยกเหรียญ
เหรียญกษาปณ์ไทย
                เหรียญกษาปณ์สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) มีการใช้หอยเบี้ยและพดด้วง ในการชำระเงินการค้าระหว่างไทยกับ ต่างประเทศ มีการใช้เบี้ยทองแดงในต่างประเทศจึงมีพระราช ดำริให้ทำเบี้ย ทองแดงจากประเทศอังกฤษมาเป็นตัวอย่าง 3 ชนิด ในปี จ.ศ.1197 หรือ พ.ศ. 2378 เมื่อทอดพระเนตรแล้วไม่ทรงโปรดในลายตราจึงมิได้นำ ออกใช้แต่ก็ทรงพระราชประสงค์ที่จะทำ เหรียญรูปกลมแบนอย่างสากลแต่ยังไม่สำเร็จ ก็เปลี่ยนรัชกาลในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  (รัชกาลที่ 4) การค้าระหว่างไทยกับ ต่างประเทศ ก็ได้ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว พ่อ ค้าชาว ต่างประเทศเข้ามาค้าขายมากขึ้นและได้นำ เงินเหรียญของตนมาแลกกับ เงินพดด้วงจากรัฐบาลไทย เพื่อนำ ไปซื้อสินค้าจากราษฎรแต่ด้วยเหตุที่เงินพดด้วงผลิตด้วยมือจึงทำ ให้มีปริมาณไม่เพียงพอ กับความต้องการ ส่งผลให้เกิดความไม่สะดวกและการค้าของประเทศเสียประโยชน์พระองค์จึงมี พระราชดำริที่จะเปลี่ยนรูปเงินตราของไทยจากเงินพดด้วงเป็นเงินเหรียญ ในปี พ.ศ. 2399 ได้ทดลอง ทำเหรียญ รูปกลมแบนอย่างสากลโดยใช้ค้อนทุบตีโลหะให้เป็นแผ่นแบน แล้วตัดเป็นรูปเหรียญกลม ให้ได้ ตามขนาดและแล้วใช้แม่ตราตีประทับ (HAND-HAMMERRING METHOD) แต่ผลิต ได้ช้าและไม่เรียบร้อย นอกจากนี้ยังมีการใช้แม่ตราตีประทับกับ เงินเหรียญต่างประเทศเพื่อให้ราษฎร ยอมรับ ในปี พ.ศ. 2400 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้คณะทูตไทยไปเจริญ สัมพันธไมตรีกับ สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียที่ประเทศอังกฤษ สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียได้จัดส่ง เครื่องทำเหรียญเงินขนาดเล็กเข้ามาถวาย ทำงานด้วยแรงงานคนโดยใช้วิธีแรงอัดแบบ SCREW PRESS METHOD เป็นราชบรรณาการ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าให้จัดทำ เหรียญ กษาปณ์จากเครื่องจักรขึ้นเป็นครั้งแรกเรียกกันว่า "เหรียญเงินบรรณาการ" ในขณะเดียวกันคณะทูต ก็ได้สั่งซื้อเครื่องจักรทำ เงินชนิดแรงดันไอน้ำ จากบริษัท เทเลอร์เข้ามาในปลายปี2401 พระองค์จึง โปรดเกล้าให้สร้างโรงงานผลิตเหรียญกษาปณ์ขึ้นที่หน้าพระคลังมหาสมบัติในพระบรมมหาราชวัง ติดตั้งเครื่องใช้งานได้เมื่อ ปีพ.ศ. 2403 พระราชทานนามว่า "โรงกษาปณ์สิทธิการ" ในสมัยนี้จึงถือว่า มีการใช้เหรียญกษาปณ์แบบสากลนิยมขึ้นเป็นครั้งแรก ต่อมาแม้ได้ประกาศให้ใช้เงินตราแบบเหรียญ แล้วก็ยังโปรดเกล้าฯให้ใช้เงินพดด้วงอยู่เพียงแต่ไม่มีการผลิตเพิ่มเติม ได้ผลิตตามแจ้งที่แจ้งแก่ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติเมื่อ ปี พ.ศ. 2438 พบว่า มีเหรียญตรามงกุฎดังกล่าวให้แลกอยู่6 ราคา ด้วยกัน คือราคา สองบาท หนึ่งบาท สองสลึง หนึ่งสลึง หนึ่งเฟืองและ สองไพ แต่ผลิตได้น้อยไม่พอ -10- แก่ความต้องการ นอกจากนี้ยังมีเหรียญ หนึ่งตำลึงและกิ่งเฟื้องแต่ไม่ได้นำ ออกใช้จึงเป็น พระมหากษัตริย์ไทย พระองค์แรกที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิรูปเงินตราไทย จากที่เคย ใช้เงินพดด้วง หรือเงินกลมที่ใช้มาแต่โบราณกาลให้มาใช้เงินเหรียญหรือเงินแบน แบบสากล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ปรับปรุงมาตรา เงินตราไทย ที่ใช้อยู่ในขณะนั้น คือ ชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง เป็นระบบโดยใช้ หน่วยเป็นบาท และสตางค์คือ 100 สตางค์ เป็น 1 บาท ตั้งแต่พ.ศ. 2441 อันเป็นมาตราเงินตรา ไทยมาจนถึงปัจจุบัน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำพระบรมรูปของพระองค์ประทับลงบน เหรียญ ซึ่งนับ เป็นครั้งแรกที่มีการนา พระบรมรูปของพระมหากษัตริย์ไทยประทับลงบนเหรียญ กษาปณ์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช  (รัชกาลที่ 9) ได้มีการผลิตเหรียญ กษาปณ์เริ่มจากเหรียญทองแดงและเหรียญดีบุกตราพระบรมรูป – ตราแผ่น ดิน ใน พ.ศ. 2493 ผลิตเหรียญราคา 5 บาท ขึ้นเป็นครั้งแรกในปีพ.ศ. 2515 ผลิตเหรียญราคา 10 บาท ขั้นเป็นครั้ง แรก ในปี พ.ศ. 2531 และได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน และเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก รวมทั้งมีการพัฒนาจัดทำ เหรียญที่ระลึก ต่อเนื่องมาจนกระทั่ง ปัจจุบัน คือ
                 1. เหรียญกษาปณ์หมุนเวียน (Circulated coins) เป็นเหรียญกษาปณ์ที่ใช้หมุนเวียนกันอยู่ ทั่วไปในชีวิตประจำ วัน มี9 ชนิดราคา คือ 10 บาท, 5 บาท, 2 บาท, 1 บาท, 50 สตางค์, 25 สตางค์, 10 สตางค์, 5 สตางค์ และ 1 สตางค์แต่ที่ใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมี6 ชนิด ราคา คือ 10 บาท, 5 บาท, 2 บาท, 1 บาท, 50 สตางค์, 25 สตางค์ส่วนเหรียญชนิดราคา 10 สตางค์, 5 สตางค์ และ 1 สตางค์ มีใช้ในทางบัญชีเท่านั้น
                 2. เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก (Commemorative coins) เป็นเหรียญกษาปณ์ที่ผลิตออกใช้ใน วโรกาสและโอกาสที่สำคัญ ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันคือ ชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือเหตุการณ์ระหว่างประเทศโดยจัดทำ 2 ประเภท คือขัดเงาและไม่ขัดเงา ข้อแตกต่างระหว่างเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน และเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกก็คือการวาง ลวดลายด้านหน้าและด้านหลัง โดนเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนจะวางลวดลายแบบ American Turning ซึ่งจะต้องพลิกดูลวดลายด้านหลังในแนวดิ่ง สา หรับเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกไดจัดวาง ลวดลายแบบ European Turning ซึ่งจะต้องพลิกในแนวนอนเพื่อดูลวดลายด้านหลัง
                 3. เหรียญที่ระลึก (Medal) เป็นเหรียญที่ผลิตขึ้นเนื่องในวโรกาสและโอกาสที่สำคัญ ต่างๆ ซึ่งมีความแตกต่างจากเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกตรงที่จะไม่มีราคาหน้าเหรียญ เนื่องจากมิใช่เงินตรา จึงไม่สามารถใช้ชำ ระหนี้ได้ตามกฎหมาย


บทที่ 3
วิธีดำเนินการ
วัสดุ อุปกรณ์
                1.คัตเตอร์                                             
                2.ปืนกาว                                              
                3.กาวแท่ง                                            
                4.ไม้บรรทัด                                         
                5. ปากกาเคมี                                       
                6.กรรไกร                                             
                7.ฟิวเจอร์บอร์ด                                  
                8.แผ่นอะคริลิคใส                              
                9.เลื่อยฉลุ                                             

วิธีดำเนินการ
                 ส่วนที่ 1 รางแยกเหรียญ
                1. ตัดแผ่นอะคริลิคใส
                                -ขนาดความกว้าง 25 ซม. ความยาว 30 ซม. จำนวน 2 แผ่น
                                -ขนาดความกว้าง 2 ซม. ความยาว 7.5 ซม. จำนวน 5 แผ่น
                                -ขนาดความกว้าง 2 ซม. ความยาว 5 ซม.    จำนวน 2 แผ่น
                                -ขนาดความกว้าง 2 ซม. ความยาว 6.5 ซม. จำนวน 2 แผ่น
                                -ขนาดความกว้าง 2 ซม. ความยาว 7 ซม. จำนวน 5 แผ่น
                                -ขนาดความกว้าง 2 ซม. ความยาว 4 ซม. จำนวน 2 แผ่น
                                -ขนาดความกว้าง 2 ซม. ความยาว 10 ซม. จำนวน 1 แผ่น
                                -ขนาดความกว้าง 2 ซม. ความยาว 4.5 ซม. จำนวน 1 แผ่น
                                -ขนาดความกว้าง 2 ซม. ความยาว 3.5 ซม. จำนวน 1 แผ่น
                -ขนาดความกว้าง 2 ซม. ความยาว 3 ซม. จำนวน 1 แผ่น
                -ขนาดความกว้าง 2 ซม. ความยาว 2 ซม. จำนวน 1 แผ่น
-ตัดสามเหลี่ยม ด้านละ 2 ซม. 2 ซม. และ 2.5 ซม.จำนวน 1 แผ่น

ภาพที่ 1  วัดขนาดแผ่นอะคริลิค ตามขนาดที่กำหนด

ภาพที่ 2 ตัดแผ่นอะคริลิค
13.นำแผ่นอะคริลิคที่ตัดมาติดตามจุดต่างๆบนแผ่นอะคริลิคใส ขนาดความกว้าง 25 ซม. ความยาว 30 ซม. ดังภาพแล้วติดด้วยปืนยิงกาว

ภาพที่ 3 ติดแผ่นอะคริลิค ตามจุดที่กำหนดดังภาพ


 14. เมื่อติดเรียบร้อยแล้ว ให้นำแผ่นอะคริลิคใส ขนาดความกว้าง 25 ซม. ความยาว 30 ซม. อีกแผ่นมาประกบกัน แล้วติดด้วยปืนยิงกาว

ภาพที่ 4 ติดแผ่นอะคริลิคใสประกบกัน

ส่วนที่2 ช่องเก็บเหรียญ
-         ตัดฟิวเจอร์บอร์ด ความกว้าง  12 ซม. ความยาว 28.5 ซม.  (ฐานรองช่องเก็บเหรียญ) จำนวน 1 แผ่น
-         ตัดฟิวเจอร์บอร์ด ความกว้าง  10 ซม. ความยาว 28.5 ซม.  (ด้านหน้าช่องเก็บเหรียญ) จำนวน 1 แผ่น
-         ตัดฟิวเจอร์บอร์ด เป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ความกว้าง  9.5 ซม. ความยาวด้านล่าง  12 ซม. ความยาวด้านบน  8.5 ซม. จำนวน 6 แผ่น
-         นำทุกชิ้นส่วนมาประกอบกันดังภาพ
-         มีระยะห่างระหว่างช่องหยอดเหรียญ 6 ซม. จำนวน 5 ช่อง


ภาพที่ 5 ช่องเก็บเหรียญ
ส่วนที่ 3 เซฟเก็บเหรียญ
-         ตัดแผ่นอะคริลิคใสเป็นรูปสามเหลี่ยม ฐานกว้าง 12 ซม. ความสูง 25 ซม. นำมาติดกับแผ่นอะคริลิคใสสี่เหลี่ยม ขนาดความกว้าง 10.5 ซม. ความยาว 15.5 ซม. (ขาตั้งรางแยกเหรียญ)
-         ตัดแผ่นอะคริลิคใสเป็นรูปสี่เหลี่ยม ความกว้าง 15.5 ซม. ความยาว 30.5 ซม. (ฐาน)
-         ตัดแผ่นอะคริลิคใสเป็นรูปสี่เหลี่ยม ความกว้าง 15 ซม. ความยาว 30 ซม. (ด้านหลัง) โดยทำมุมกับรางแยกเหรียญ 60 องศา
-         ตัดแผ่นอะคริลิคใสเป็นรูปสี่เหลี่ยม ความกว้าง 7 ซม. ความยาว 30.5 ซม. (ฝาปิดด้านบน)
-         ตัดแผ่นอะคริลิคใสเป็นรูปสี่เหลี่ยม ความกว้าง 10.5 ซม. ความยาว 30.5 ซม. (ประตูเปิดปิด)

ภาพที่ 6 เซฟเก็บเหรียญที่ประกอบเสร็จแล้ว
แผนการกำหนดเวลาปฏิบัติงาน 1.ระยะเวลาดำเนินการ :
ลำดับ
รายการ
มี.ค.
เม.ย.
หมายเหตุ
1
ประชุม วางแผนเลือกโครงงานที่จะทำ
/


2
เสนอเค้าโครงงานให้อาจารย์ที่ปรึกษา
/


3
จัดซื้อจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้
/


4
เริ่มประดิษฐ์กระปุกออมสินแยกเหรียญ
1.ประดิษฐ์รางแยกเหรียญ
2.ประดิษฐ์ช่องบรรจุเหรียญแต่ละชนิด
3.ประดิษฐ์กรอบนอก
4.ประกอบทุกส่วนให้เข้ากัน

/
/
/
/
/

5
ทดลองการใช้งานกระปุกออมสินแยกเหรียญ

/

6
สรุปผลการทดลอง

/

7
นำผลการทดลองไปปรับปรุงแก้ไขการประดิษฐ์ในครั้งต่อไป

/

*กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม


บทที่ 4
ผลการศึกษา
                จากการศึกษากระปุกออมสินแยกเหรียญ โดยแบ่งการแยกออกเป็นเหรียญ 10 บาท 5 บาท 2 บาท 1 บาท ซึ่งได้ดำเนินการทดลองหยอดเหรียญลงในกระปุกแยกเหรียญ10 บาท 5 บาท 2 บาท 1 บาท ได้ผลตามตารางดังต่อไปนี้

ตารางที่ 1 ตารางแสดงจำนวนเหรียญที่หยอดลงกระปุกออมสินแยกเหรียญ
เหรียญ
จำนวนเหรียญที่หยอด/ครั้ง
ความแม่นยำของเหรียญที่ลงช่อง/ครั้ง
10
10
8
5
10
9
2
10
5
1
10
7

จากตารางบันทึกผลพบว่า  ประสิทธิภาพในการแยกเหรียญของกระปุกออมสินแยกเหรียญ ได้ผลดังนี้
1.             กระปุกออมสินแยกเหรียญ มีประสิทธภาพในการแยกเหรียญ 10 บาท ได้ 8เหรียญ จากการทดลองทั้งหมด 10 เหรียญ ซึ่งมีความแม่นยำ มาก
2.             กระปุกออมสินแยกเหรียญ มีประสิทธภาพในการแยกเหรียญ 5 บาท ได้ 9เหรียญ จากการทดลองทั้งหมด 10 เหรียญ ซึ่งมีความแม่นยำ มากที่สุด
3.             กระปุกออมสินแยกเหรียญ มีประสิทธภาพในการแยกเหรียญ 2 บาท ได้ 5เหรียญ จากการทดลองทั้งหมด 10 เหรียญ ซึ่งมีความแม่นยำ น้อย
4.             กระปุกออมสินแยกเหรียญ มีประสิทธภาพในการแยกเหรียญ 5 บาท ได้ 7เหรียญ จากการทดลองทั้งหมด 10 เหรียญ ซึ่งมีความแม่นยำ ปานกลาง





บทที่ 5
สรุปผลการศึกษา อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ
สรุปผลการศึกษา
                จากผลการทดลองกระปุกออมสินแยกเหรียญ สามารถแยกเหรียญต่างๆได้ดังนี้ ทดลองหยอดเหรียญ10 บาท จำนวน10 ครั้ง ลงถูกช่อง 8 ครั้งซึ่งมีความแม่นยำมาก ทดลองหยอดเหรียญ5 บาท จำนวน10 ครั้ง ลงถูกช่อง 9 ครั้งซึ่งมีความแม่นยำ มากที่สุด ทดลองหยอดเหรียญ2 บาท จำนวน10 ครั้ง ลงถูกช่อง 5 ครั้งซึ่งมีความแม่นยำ น้อย และทดลองหยอดเหรียญ1 บาท จำนวน10 ครั้ง ลงถูกช่อง 7 ครั้งซึ่งมีความแม่นยำ ปานกลาง

อภิปรายผล
                จากการทดสอบการทำงานของกระปุกออมสินแยกเหรียญ โดยทดลองหยอดเหรียญ 10 เหรียญ 5 เหรียญ 2 เหรียญ 1 อย่างละ 10 เหรียญ พบว่ากระปุกออมสินแยกเหรียญสามารถแยกเหรียญได้จริง และเมื่อออมเต็มแล้วสามารถนำเหรียญออกมาใช้ได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องเสียเวลาในการคัดแยก เหรียญ กระปุกออมสินยังสามารถใช้งานต่อได้อีก โดยไม่สิ้นเปลืองในการหาซื้อกระปุกใหม่


ข้อเสนอแนะ
                ในอนาคตคณะผู้จัดทำมีแนวคิดว่าว่าควรพัฒนาให้ออมสิน สามารถแยกชนิดของเหรียญได้แม่นยำ พร้อมกับบอกจำนวนเงินออมได้